วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จิต วิญญาณ การกลับชาติมาเกิด

จิต วิญญาณ การกลับชาติมาเกิด

การเวียนว่ายตายเกิด การกลับชาติมาเกิด
คำสองคำนี้ไม่เหมือนกัน เป็นคนละเรื่อง คนละความหมายกัน การเวียนว่ายตายเกิด
เป็นคำที่พูดและใช้กันในพุทธศาสนาหรือเมื่อกล่าวถึงธรรมะ (คือ ธรรมชาติ) การกลับชาติมาเกิดหรือการเกิดใหม่ ส่วนเรื่องการกลับชาติมาเกิดนั้น ภาษาอังกฤษใช้คำว่า reincarnation ที่เรา พูดกันว่าเกิดใหม่หรือกลับชาติมาเกิด อันนี้ โดยแก่นธรรมะแล้ว ไม่มีการกลับ ชาติมาเกิดใดๆ ทั้งสิ้น

หตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงโดยนัยทางธรรมแล้ว เป็นเพียงการเกิดดับสืบต่อของ ๒ สิ่งใหญ่ๆ นั่นคือรูปกับนาม เอาที่เห็นชัดๆ ก็คือ การเกิดตายของสิ่งมีชีวิตสักสิ่ง เช่นต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดขึ้นมา-เติบโต- แก่และตายเหี่ยวแห้งไร้ชีวิตไปในที่สุด คนสักคน มดสักตัว ก็ล้วนเกิดขึ้น- ตั้งอยู่(คือ มีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง)-แก่ลง เสื่อมสภาพลง แล้วก็ต้องดับไป (คือ ตายไป สิ้นชีวิตลง)ในที่สุด
เนื่องจากโดยความจริงแท้ตามธรรมชาติแล้ว ไม่ได้มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราหรือเขาที่ตรงไหน ไม่ได้มีของเราของเขาที่ตรงไหน ไม่ได้มีคน ไม่ได้มีสัตว์ ไม่ได้มีพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ต้นไม้ ทะเล มหาสมุทร ปลา กุ้ง ปู ฯลฯ อะไรที่ตรงไหนเลย ทุกอย่างเป็นเพียง ธาตุสี่ (ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ) ที่มาประชุมกันตามเหตุปัจจัย ทุกอย่างเป็นเพียง ส่วนประกอบของรูป (เช่นก้อนหิน น้ำ ลม) หรือส่วนประกอบของ รูปกับนามหรือกายกับใจ (ก็คือสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบทั้งปวง)
เมื่อลงมาดูที่รูปกับนามแล้ว รูปก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา นามก็เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา ทำไมจึงพูดเช่นนี้
รูป (กาย) ก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ก็เพราะว่า อย่างร่างกายของมนุษย์ (คือรูปหรือกาย) ที่จริงล้วน ประกอบไปด้วยเซลล์จำนวนมาก ที่เกิด-ตาย เกิด-ตาย เซลล์เก่า ตายไป เซลล์ใหม่เกิดมาทดแทน เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดนับแต่คนๆ หนึ่ง เกิดขึ้นมาและตายไป
นาม (จิต) ก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ส่วนนามหรือใจหรือจิตก็ตาม ในทางธรรมแล้ว จิตเกิด-ดับอยู่ตลอด เวลา เพียงแต่เกิดดับรวดเร็วมากจนผัสสะหรือความสามารถในการ รับรู้ความสามารถในการเข้าไปสังเกตุปรากฏการณ์ธรรมชาติอันนี้ ของคนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป ไม่สามารถตามรู้ได้ จิตเกิดดับสืบทอดกัน ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีจิตดวงใดดวงหนึ่งเป็นจิตพิเศษที่ถาวร หรือเป็นอมตะอะไรตรงไหนเลย แม้ที่เราสมมุติเรียกกันว่า 'ตาย' แต่อันที่จริงแล้ว ในความเป็นจริงแท้ๆ ไม่ได้มีใครตาย (เพราะว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา-เขา อะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว) เป็นเพียงจิตดวงสุดท้าย ของชีวิตนี้หรือของอัตภาพนี้ดับไป แต่ทันทีนั้นก็จะมีจิตเกิดขึ้นใหม่ (ต่อเนื่องไปเลยไม่มีการเว้นระยะ ไม่มีระหว่างคั่น แต่ประการใด) ในภพภูมิใหม่ในอัตภาพใหม่ที่กระแสกรรม กระแสแห่งเหตุปัจจัย นำไปให้ต้องเกิดสืบต่อไปอย่างทันที เป็นเช่นนี้ คือ เกิด-ตาย ในภพภูมิต่างๆ เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ไม่สิ้นสุดไปได้ เว้นเสียแต่จะหมดกระแสเหตุแห่งปัจจัยที่จะต้องเกิดอีก หมดกิเลส หมดอวิชชา นั่นเองจึงจะสามารถหลุดพ้น จากกับดักแห่งสังสารวัฏหรือวัฏฏสงสารอันประกอบไปด้วยทุกข์ มีแต่ทุกข์ มีแต่ความไม่รู้ ไปได้ในที่สุด
การกลับชาติมาเกิด
ส่วนเรื่องของการกลับชาติมาเกิดนั้น เป็นการพูดตามแนวความคิดที่เชื่อ ว่ามีเรา มีตัวตน จิตหรือใจดวงหนึ่งหรือมีวิญญาณดวงหนึ่ง เชื่อว่าแต่ละคน แต่ละชีวิตก็มีจิตหรือวิญญาณเฉพาะของตนคนละดวงไป และเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณดวงที่ว่านี้ 'เที่ยง' คือ ไม่มีวันตายหรือสูญสลาย เชื่อว่าเมื่อชีวิตนี้ดับลงจิตหรือวิญญาณดวงเดิมนี้ก็ไปเกิดใหม่ ในอัตภาพใหม่ ฯลฯ ซึ่งเป็นคนละมุมมองกับธรรรมชาติ ในแนวธรรมะที่กลับกันแต่แรกตรงที่ไม่ได้มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา-เขา ของเรา-ของเขา ที่ตรงไหนเลย
ส่วนคำว่า วิญญาณ ในทางธรรมนั้น เป็นอีกความหมายหนึ่ง เป็นหนึ่งในขันธ์ห้า (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ตามข้างล่างนี้ (คัดมาจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก)
วิญญาณ
ความรู้แจ้งอารมณ์ จิต ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายในและอายตนะ ภายนอกกระทบกัน เช่น รู้อารมณ์ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตา เป็นต้น ได้แก่ การเห็น การได้ยิน เป็นอาทิ
วิญญาณ ๖
(๑)
จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา (เห็น)
(๒)
โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู (ได้ยิน)
(๓)
ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก (ได้กลิ่น)
(๔)
ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น (รู้รส)
(๕)
กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย (รู้สิ่งต้องกาย)
(๖)
มโนวิญญาณ ความรู้อารณ์ทางใจ (รู้เรื่องในใจ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น